การตื่นรู้ในมิติ 3D และ 5D
- Inspiresoul Thailand
- Jan 1, 2019
- 1 min read
Updated: Jul 9, 2022

ในการศึกษาเรื่องจิตวิญญาณนั้น กล่าวถึงการตื่นรู้ในมิติต่างๆ ซึ่งมักพูดถึง 3D และ 5D ก่อนจะอธิบายไปถึง 3D ขออธิบายโดยใช้ความรู้ทางรูปทรงเรขาคณิต (Geometry) อธิบายเรื่อง Dimension หรือมิติ ของ 0D 1D และ 2D ก่อน
0D เป็นจุด ไม่มีการเชื่อมต่อ
1D เป็นเส้นตรง
2D เป็นเส้นที่มีการเชื่อมต่อ ซึ่งอาจจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม มีระนาบ (plane) หรือถ้าจะอธิบายแบบง่ายๆคือ คือมีแกน x และ y ในการกำหนดตำแหน่งของการเชื่อมต่อ
3D คือ พื้นที่ว่างที่ไม่มีขอบเขต (space) เป็นการแสดงวัตถุที่มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งและทิศทาง
ทั้งหมดที่เกริ่นมาเป็นการนิยามรูปทรงเรขาคณิต
ในการตื่นรู้ใน 3D คือ การตื่นรู้จากการสัมผัสรับรู้ในโลกปัจจุบัน
การมองเห็นรูปทรงต่างๆที่มีความกว้าง ความสูงและความลึก ยกตัวอย่างเช่นการมองลูกบาศก์สี่เหลี่ยม รูปทรงต่างๆที่เรามองเห็นจะมีความลึกเข้ามาเกี่ยวข้อง การรับรู้ในโลกปัจจุบันจึงสัมผัสถึงสิ่งนั้นได้อย่างผิวเผิน เหมือนคุณมองใครสักคน คุณอาจจะดูหน้าตา รูปร่าง การแต่งตัว และนิสัยใจคอที่ผ่านการรับรู้ที่คุณสัมผัสได้ระดับหนึ่ง ในเรื่องของจิตวิญญาณนั้นการตื่นรู้ในมิติ 3D จึงเป็นเรื่องปกติของมนุษย์
ในการตื่นรู้ 4D คือ การตื่นรู้จากการฝัน
ความฝันเป็นระนาบของดวงดาว (Astral plane) เป็น 3D ที่เพิ่มเรื่องของเวลาเข้ามา ไม่มีขอบเขต ความฝันอาจเกิดจากจินตนาการ ความผูกพันธ์ ภวังค์ที่เรานั้นกำลังเกี่ยวข้อง บางคนอาจจะฝันว่าไปเที่ยวต่างประเทศ ว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นจินตนาการที่เกิดขึ้นในความฝัน ในการศึกษาทางจิตวิญญาณนั้นมักกล่าวไว้ว่า คนที่สามารถจำความฝันตนเองได้ จะมีคุณลักษณะที่สามารถเข้าใกล้การตื่นรู้ ฝันบางอย่างอาจเป็นฝันที่ทำให้มองเห็นอนาคต (Precognition) ฝันลักษณะนี้มักจะเกิดขึ้นเพื่อมาเตือนให้ระวังในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น เราอาจจะฝันเห็นบุคคลที่รักในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้วเข้ามาเตือนให้เราระวังตัวเรื่องสุขภาพ
ในการตื่นรู้ 5D คือ การตื่นรู้ที่เชื่อมโยง (connect) กับสิ่งที่อยู่รอบๆ
เช่น ผู้คน สัตว์ ธรรมชาติ บางคนมองภาพบางอย่างอาจจะเห็นรายละเอียดที่ซ่อนอยู่ข้างในภาพ บางคนพูดคุยกับคนอื่นสามารถรับรู้ได้ถึงความเสแสร้งหรือไม่จริงใจ ในมิตินี้คือมิติของแสง คนที่อยู่ในมิตินี้มักมักจะมีความไวต่อการรับรู้แสง บางทีมองเห็นนกบินก็จะเห็นการเคลื่อนไหวของนกทุกขณะเหมือนภาพที่เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ บางทีมองเห็นแสงจากวัตถุเปล่งแสงออกมา ทั้งที่ในสายตาคนธรรมดาทั่วไปจะมองไม่เห็น นอกจากนี้แล้วจะซึมซับกับสิ่งต่างๆรอบตัว จนบางครั้งไม่สามารถอยู่ในสถานการณ์นั้นได้ ต้องรีบเอาตัวเองออกจากสถานการณ์นั้น บางทีอาจจะเกิดความอึดอัดใจเพราะมีความรู้สึกท่วมท้นกับสิ่งที่ตนเองสัมผัสได้ คุณที่อยู่ในมิติที่ 5 มักจะมองเห็นอะไรที่มีความลึกซึ้ง เข้าถึงธรรมชาติ สัตว์ต่างๆล้วนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจึงอาจจะสังเกตได้ว่าสัตว์ต่างๆมักจะไม่กลัว และกล้าเข้ามาหาเพราะรู้สึกได้ถึงความมีเมตตา คนที่อยู่ในมิติที่ 5 สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกในมิติที่ต่ำกว่า แต่เขาเหล่านั้นจะต้องรีบจัดการกับความรู้สึกเพื่อสร้างสมดุลในจิตวิญญาณ คนที่อยู่ในมิติที่ 5 มักจะไม่สามารถคอนเน็คกับคนที่อยู่ในมิติที่ 3 เช่น ไปฟังเรื่องราวความต้องการของคนที่อยู่ในมิติที่ 3 ก็อาจจะรู้สึกถึงการขาดความสมเหตุและผลของเรื่องราวที่รับฟัง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต่อต้านหรือแย้ง เขาเพียงแค่รับฟังและอาจจะแย้งบ้างเพื่อแสดงแนวคิดเพื่อสนับสนุนความเป็นไปได้ที่ควรจะคิด และเขาระลึกเสมอว่าการจะเปลี่ยนแนวคิดของใครนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
การฝึกการตื่นรู้ทำได้ด้วยการนั่งสมาธิ ฝึกตัวตนให้มีความรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ลดละตัวตนหรืออีโก้ (ego) ฝึกการมีเมตตา ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อสัตว์ รวมไปถึงธรรมชาติรอบข้าง
ในเรื่องของการฝึกจิตวิญญาณ การตื่นรู้จะทำให้เราเข้าใกล้ตัวตนในระดับสูง (Higher-self) ที่จิตวิญญาณเข้าใกล้กับพระเจ้า สามารถเชื่อมโยงจักรวาลและโลกมนุษย์ ยกตัวอย่างแบบอภินิหารก็ประมาณว่ารับรู้ได้ถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าซึ่งได้รับการสื่อสารจากพระเจ้า หรือตัวอย่างที่เข้าใจง่ายหน่อยก็คือการซึมซับกับพลังงานรอบข้างรับรู้ได้ว่าฝนกำลังจะตกในเร็วๆนี้
ไม่ว่าจะตื่นรู้ในมิติใด มนุษย์ก็ยังมีความคิดบวกและลบเสมอ การขจัดความรู้สึกโดยการนำพลังงานในด้านดีมาใช้ ก็อาจจะเปลี่ยนสถานการณ์ต่างๆที่แย่ให้ดีขึ้นได้ ในทางกลับกันการยอมรับพลังงานด้านลบก็อาจจะสอนให้รู้จักยอมรับข้อบกพร่องของตนเอง แล้วค่อยขจัดจุดนั้นเพื่อเปลี่ยนตนเองให้อยู่ในพลังงานบวกต่อไป
InspireSoul
Copyright @2022 สงวนลิขสิทธิ์ห้ามนำไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
Comments