ตอนที่ 4 มรดกกรรม
- Inspiresoul Thailand
- Dec 2, 2022
- 1 min read

Photo by Ekaterina Shakharova on Unsplash
ครอบครัวของนีน่าปรับตัวกับการเลี้ยงเด็กในบ้านเป็นเวลาถึงสี่ปี เธอไม่มีโอกาสที่จะเดินทางไปประเทศไทยเลยตลอดสี่ปี เพราะหน้าที่การงานของเธอที่กำลังเติบโตทำให้ต้องทำงานตลอด เช่นเดียวกับผู้เป็นสามี จนกระทั่งทั้งคู่ลืมคิดถึงทริปต่างๆ ที่เคยวางแผนไว้ว่าจะไปเยี่ยมญาติที่เมืองไทย เอเลน่าอายุครบสี่ขวบ กำลังเข้าเรียนพรีสคูล (Preschool) ซึ่งเป็นระดับเตรียมก่อนเข้าโรงเรียนในระดับประถม เธอกำลังซนและช่างซักถาม ในทุกๆ เย็น นีน่าจะไปรับเธอจากโรงเรียน แล้วกลับถึงบ้านประมาณห้าโมงเย็น ในบางวันที่นีน่าติดธุระ คริสพ่อของเธอก็จะไปรับแทน
เวลาประมาณหกโมงเย็นตามนาฬิกาประเทศสหรัฐอเมริกา เสียงเรียกจากไลน์ในโทรศัพท์มือถือดังขึ้น นีน่าหยิบโทรศัพท์เพื่อรับสายในไลน์
“สวัสดีค่ะ นี่เช้าตรู่ของที่โน่น”
“แม่โทรมาแต่เช้าเลย มีอะไรคะ” นีน่าพูดในไลน์
“ลูก คุณยายไปแล้วนะ” เสียงสั่นเครือของแม่ของนีน่าโทรมาจากประเทศไทยผ่านไลน์
“เราจะจัดงานแล้วก็เผาในวันเสาร์ที่จะถึง”
“หนูจะมาหรือไม่มาก็ได้นะลูก มันกระชั้นชิดมากเลย”
นีน่าร้องไห้ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา สักพักเธอเอ่ยว่า
“มันคงจะไปไม่ได้ค่ะแม่ หนูลางานไปไม่ได้ ต้องทำโปรเจ็กต์ใหญ่ที่โรงพยาบาลให้รับผิดชอบ”
“อีกอย่าง ต้องไปรับเอเลน่าทุกวัน ไม่มีใครช่วยดู”
“คริสก็ไปทำงานต่างเมือง กว่าจะกลับก็สิ้นเดือน”
“จ้าๆ ส่งใจให้คุณยายก็แล้วกันนะ แม่ก็จะได้รีบจัดการงานต่างๆ ที่นี่”
“รักษาสุขภาพด้วยนะคะแม่ รักค่ะ” นีน่ากล่าวกับผู้เป็นแม่ก่อนที่จะตัดสายไลน์ เธอถอนหายใจ นึกถึงภาพต่างๆ เกี่ยวกับคุณยายของเธอ และคิดในใจว่า
“พอเริ่มแก่ ก็มีแต่คนเริ่มตายจาก”
นีน่าระลึกถึงความทรงจำของเธอที่ทำให้เธอตระหนักถึงเหตุการณ์หลายๆ อย่างในชีวิต เธอเองก็เพิ่งอายุ 30 ปี ก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่เที่ยงของชีวิต และเธอนึกไปถึง เอเลน่า ลูกสาวของเธอ แล้วเธอนึกถึงวัยเด็กของตัวเองที่ระลึกถึงคุณตาของเธอที่จากเธอไปตั้งแต่เธออายุได้สี่ขวบ เธอมีความผูกพันกับคุณตามาก คุณตาเลี้ยงดูเธอและพาเธอไปเดินเล่นในสวนสาธารณะใกล้บ้านในทุกๆ วัน เพื่อรอแม่ของเธอเลิกงาน แต่แล้วคุณตาก็จากเธอไป และในวันนี้ที่เธอทราบข่าวความสูญเสียของคุณยาย ก็ยิ่งตอกย้ำให้เธอเรียนรู้ชีวิตได้ดีขึ้น และเข้าใจมันได้ดีขึ้นกับคำว่า
“ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต”
เย็นวันนั้นนีน่าขับรถไปรับเอเลน่าที่โรงเรียน เด็กหญิงวิ่งไปหาแม่ทันทีที่เห็น นีน่าคิดในใจว่า จะบอกลูกสาวหรือไม่บอกดีนะ เพราะลูกสาวของเธอก็ไม่ได้คุ้นเคยกับคุณยายทวดมากนัก จะเห็นกันบ้างก็แค่การพูดคุยกันในไลน์ เด็กหญิงอายุหกขวบอย่างเอเลน่า จะจดจำเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตได้แค่ไหน ความรู้สึกในใจของนี่น่ากำลังสับสน ในอีกด้านหนึ่งเธอเองก็มีความรู้สึกเสียใจ และอยากจะปลดปล่อยความเสียใจเหล่านี้ออกจากตัวเองให้เอเลน่าได้รับรู้บ้าง ถึงแม้ว่าลูกสาวของเธออาจจะยังไม่เข้าใจมันก็ตาม ความคิดต่อต้านในใจของเธอกล่าวดังๆ ว่า
“สายเลือดทางกรรมพันธุ์ มันก็ยังเป็นกรรมที่ยังอยู่”
เธอจึงตัดสินใจบอกลูกสาวของเธอว่า
“คุณยายทวดไปสวรรค์แล้วนะคะลูก”
เอเลน่า ทำหน้าสงสัยแล้วพูดว่า
“สวรรค์ คืออะไรค่ะแม่?” เด็กหญิงพูดภาษาอังกฤษ ถามผู้เป็นแม่
“สวรรค์ ก็คือ ที่ๆ คนตายไปอยู่รวมกัน เราจะไม่เห็นคุณยายทวดอีกแล้ว แต่เราจะคิดถึงท่านตลอดเวลา”
เอเลน่า น้ำตาไหลพราก พลางพูดสะอึกสะอื้นว่า
“หนูไม่อยากให้คุณยายทวดไปสวรรค์ หนูคิดถึงยายทวดค่ะ”
“ยายทวดใจดี”
นีน่าน้ำตาไหลเมื่อเห็นลูกสาวของเธอหลั่งน้ำตา ภาพที่เห็นสะท้อนความรู้สึกย้ำเตือน ให้เธอเข้าใจความผูกพันทางสายเลือด ถึงแม้ว่าความห่างไกลทางระยะทางอาจเป็นอุปสรรคต่อการแสดงความรักและการสร้างความสัมพันธ์ หรือแม้แต่กระทั่งอายุของเด็กหญิงที่ไม่น่าจะเข้าใจเรื่องของความตาย แต่ภาพที่เธอเห็นนั้นสะท้อนให้เธอเข้าใจความรู้สึกของเด็กหญิงอายุสี่ขวบกับความตาย และทำให้เธอเรียนรู้ได้ว่า
“ความผูกพันระหว่างสายเลือดนั้นไม่เคยจางหาย” และ
“ความรู้สึกบางอย่างสามารถแสดงออกได้เพื่อสื่อสารความเข้าใจ”
สักพักนีน่ารวบรวมสติอารมณ์ แล้วปลอบใจลูกสาวตัวเอง
“คนเก่ง เลิกร้องไห้นะ”
“คุณยายทวดยังอยู่กับพวกเราจ้ะ แค่เรามองไม่เห็น” เธอพูดพลางเอามือเช็ดน้ำตาของเด็กหญิง
“อ่ะ นี่นมเย็น แม่ซื้อมาให้ กินซะจะได้สดชื่น”
“ค่ะ แม่”
“หนูคิดถึงเจ้าโคเคาแล้ว กลับบ้านไปหาโคเคากันดีกว่า”
เด็กน้อยเลิกร้องไห้ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมายังอยู่ในอารมณ์โศกเศร้าเสียใจ แต่เมื่อมีสิ่งเรียกร้องความสนใจอื่นเธอสามารถหยุดชะงักจากอารมณ์นั้นได้ในทันที นีน่าพาลูกสาวขึ้นรถแล้วขับรถกลับบ้าน ระหว่างทางเธอก็รู้สึกใจโหวงๆ เหมือนใจหาย มีอะไรสักอย่างในชีวิตของเธอที่หายไป
ความคิดเห็น