ตอนที่ 5 ศาสนา
- Inspiresoul Thailand
- Dec 2, 2022
- 1 min read

Photo by John Schnobrich on Unsplash
ที่โรงเรียนมัธยมระดับไฮสคูล เอเลน่ากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องสมุดของโรงเรียน หนังสือที่เธอกำลังอ่านนั้นคือคณิตศาสตร์ เอเลน่าครุ่นคิดกับหนังสือเพื่อแก้สมการคณิตศาสตร์ สักพักเธอมองเห็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่มีคนวางไว้บนโต๊ะ หนังสือเล่มนั้นมีชื่อเรื่องว่า “กรรม”
เอเลน่านับถือศาสนาคริสต์ตามพ่อของเธอ แต่เธอก็จดจำเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธได้ แม่ของเธอ นีน่า ซึ่งเป็นคนไทยนั้นสอนให้เธอรู้จักกับศาสนาพุทธ เธอนึกถึงวันสำคัญๆ ที่แม่ของเธอพาเธอไปวัดและไปพบกับเพื่อนๆ คนไทย เธอรู้สึกไม่ชอบที่จะสนทนากับเพื่อนของแม่ซึ่งเป็นคนไทยเท่าไหร่ เพราะเธอรู้สึกว่าถูกบูลลี่ เช่น บางช่วงที่เธออ้วน เธอก็จะถูกทักจากเพื่อนของแม่ว่าเธออ้วนขึ้นนะ ไปทำอะไรมา และบางช่วงที่เธอผอมเธอก็ถูกทักว่าหุ่นดี ทั้งที่เธอรู้สึกว่ามันดูไม่ดีเท่าไหร่ในสายตาตัวเอง เอเลน่าไม่เข้าใจสิ่งที่เพื่อนๆ ของแม่พูด เพราะเธอไม่เคยได้รับการปฎิบัติแบบนี้จากเพื่อนๆ หรือคนอื่นรอบตัวที่เป็นคนอเมริกัน ส่วนใหญ่แล้วการยกย่องชมเชยของสังคมอเมริกันที่ตนเองสัมผัส มาจากการชื่นชมจากการกระทำ เช่นการช่วยเหลือเพื่อน หรือแบ่งปันอาหารหรือสิ่งของให้เพื่อนๆ การทำงานเป็นทีมในการแข่งขันต่างๆ แล้วได้รับรางวัล ส่วนการตำหนิเสมือนการทักทายนั้นเธอไม่เคยเจอ
สิ่งที่เอเลน่าชอบเวลาไปร่วมงานกับคนไทย คือ อาหาร เธอชอบทานอาหารไทยทุกอย่าง ดังนั้นเธอจะตักทุกอย่างที่อยากกินและนั่งทานที่โต๊ะอย่างมีความสุข ซึ่งไม่ได้สนใจใครที่อยู่รอบๆ ตัวเอง เอเลน่าไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับศาสนาพุทธ แต่เธอรู้ว่าทุกๆ ครั้งที่ไปวัด เธอจะเห็นแม่ก้มกราบองค์พระพุทธรูปเพื่อแสดงความเคารพ ตัวเธอเองก็ทำไปพร้อมๆ กับแม่ เธอรู้สึกแค่ว่า ในขณะที่ก้มกราบนั้น เธอรู้สึกได้ถึงความสงบเสมือนหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าได้รับรู้ถึงความตั้งใจที่เธอแสดงความเคารพ เธอจึงไม่ได้รู้สึกแปลกแยกหรือผิดปกติในการแสดงความเคารพต่อองค์พระพุทธรูป ถึงแม้ว่าเธอจะกรอกข้อมูลในเอกสารทางราชการทุกๆ ครั้งว่าเป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์ก็ตาม เธอเคยไปโบสถ์กับคุณพ่อของเธอและคุณลุงโจอี้นานๆ ครั้ง ตลอดเวลาในช่วงชีวิตวัยเด็กของเธอในโรงเรียนประถมและโรงเรียนมัธยมก็มักจัดกิจกรรมทางศาสนาคริสต์ ซึ่งเธอได้ร่วมร้องเพลงกับเพื่อนๆ อยู่บ่อยๆ
เอเลน่าหยิบหนังสือเรื่อง “กรรม” ขึ้นมาอ่าน ในคำนำนั้นผู้แต่งพูดถึงเรื่องทางจิตวิญญาณ ซึ่งอธิบายว่าเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตที่โยคีปฏิบัติตามวิถีโยคะ การปฏิบัติทางจิตวิญญาณคือการเรียนรู้เพื่ออยู่กับปัจจุบัน โดยมองสิ่งต่างๆ ที่ปรากฎตามจริง เอเลน่าเกิดความรู้สึกสนใจในแนวคิดนี้ แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจมากนักว่าแตกต่างจากศาสนาอย่างไร เธอจึงติดต่อบรรณารักษ์เพื่อขอยืมหนังสือเล่มนี้กลับไปอ่านต่อที่บ้าน
ในวัย 18 ปีของเอเลน่า ควรเป็นวัยที่ดูสนุกสนานแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะจะต้องเตรียมตัวเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เอเลน่าเป็นคนที่ใส่ใจในการเรียนมาก เธอจึงไม่ค่อยมีนัดเจอเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกัน และดูจะเป็นคนที่เก็บตัวจากเพื่อนฝูง เธอขยันอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย จึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่บ้าน เอเลน่าปรึกษากับแม่ของเธอในเรื่องการศึกษาต่อ
“คุณแม่ขา หนูจะเลือกเรียนอะไรดี?”
“ลอร่าบอกว่า พ่อแม่เธอบอกให้สอบเข้าเรียนทันตแพทย์ เพื่อจะได้เงินเยอะๆ”
“เงินไม่ใช่คำตอบเสมอไปนะลูก” นีน่าบอกกับลูกสาว
“เรียนทันตแพทย์ก็ใช้เงินเยอะ และใช้เวลาเรียนเยอะด้วย”
“ทำงานก็ต้องทำงานหนัก ถึงจะมีเงิน”
“เรียนอะไรที่เลี้ยงชีพได้ ที่ลูกชอบน่าจะดี”
“เวลาเรารักหรือชอบอะไร เราก็จะทำสิ่งนั้นได้ดี”
“ชีวิต ก็จะมีความสุขได้ง่าย”
“ลูกอยากเรียนอะไร?” นีน่าถามลูกสาว
นีน่านึกถึงประสบการณ์ในวัยเดียวกันกับลูกสาว ซึ่งเธอไม่เก่งคณิตศาสตร์เอาซะเลย สุดท้ายเธอเลือกเรียนคณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทย แต่ชีวิตของเธอเองก็หักเห ที่มีโอกาสไปฝึกงานที่อเมริกา แล้วได้พบรักกับคริส เธอค้นพบความชอบของตัวเองจากการได้ทุนเรียนฟรีเพื่อเป็นผู้ช่วยแพทย์ที่สหรัฐอเมริกา เธอชื่นชอบสาขาวิชาทางการแพทย์ และรู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือคนไข้ งานที่เธอทำจึงเป็นงานที่มีความหมายสำหรับเธอ แล้วเธอจึงสมัครเรียนพยาบาลขั้นสูง โดยส่งเสียตัวเองในระหว่างที่ทำงานเป็นผู้ช่วยแพทย์ เธอตั้งใจเรียนจนได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งในขณะที่เป็นคนไทยที่เรียนในมหาวิทยาลัยของอเมริกา เธอได้เรียนรู้ว่าอเมริกาเปิดกว้างเสมอ แต่การที่จะได้รับการยอมรับจากคนชาติอื่นๆ นั้นไม่ได้ง่ายนัก
“หนูชอบเดินทาง หนูอยากใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารค่ะ”
“แต่หนูก็ไม่ทราบหรอกว่าหนูอยากจะทำงานอะไร”
นีน่ารู้จักนิสัยของลูกสาวเธอดี เอเลน่าเป็นเด็กที่เข้มแข็ง และสนใจในสิ่งต่างๆ รอบตัว นีน่าคิดในใจว่า การเรียนก็คงเป็นแค่เครื่องมือหนึ่งในการหาเลี้ยงชีพ แต่การประกอบอาชีพของคนๆ หนึ่งคงไม่ได้หมายความว่าจะจบลงเพียงอาชีพเดียว สิ่งนี้เธอตระหนักดีและเข้าใจดีว่า
“การที่ได้สอนให้ลูกได้ทดลองทำหลายๆ อย่างในชีวิต
ในช่วงวัยรุ่น มันจะนำทางไปสู่การสร้างรูปร่างของชีวิตได้ในอนาคต”
เธอจึงไม่เคยแนะนำให้ลูกของเธอเรียนตามที่เธอเรียน แต่เธอชี้ให้เห็นข้อดีและข้อเสียในมุมมองของเธอ เช่นเดียวกับที่เธอเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้เธอทำงานทางด้านสายการแพทย์ แต่ความรู้ที่เธอได้จากการเรียนในประเทศไทยก็เป็นพื้นฐานความรู้ที่นำทางชีวิตเธอจนถึงจุดนี้
“ลูกเลือกสิ่งที่คิดว่าตัวเองจะทำได้ดี หรือไม่ก็อาจจะได้ใช้มันในอนาคตสิจ้ะ”
เอเลน่าตอบแม่ของเธอว่า
“จริงๆ หนูทำคะแนนด้านวิชาคณิตศาสตร์ได้ดีมาก บางทีหนูก็อยากเลือกเรียนทางวิศวกรรม”
“แต่อีกด้านหนูก็อยากท่องเที่ยว อยากเรียนอะไรที่สบายๆ ไม่หนักมาก”
นีน่าแนะนำลูกสาวต่อไปว่า
“คืนนี้พ่อกลับมาลองถามคุณพ่อดูสิ อยากให้เรียนอะไร”
คริสกลับมาถึงบ้านในช่วงเวลาโพล้เพล้ นีน่าส่งเสียงออกไปว่า
“ทุกคนกำลังรอทานข้าวอยู่นะคะ ที่รัก”
“ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวถอดรองเท้าก่อนนะ”
“วันนี้เหนื่อยมากเลย ทำงานใช้แรงงานนี่”
ที่โต๊ะอาหาร นีน่าจัดเตรียมอาหารไทยต้มยำไก่ ไข่เจียว และมีผัดไก่เทอริยากิอีกหนึ่งจาน จานที่มีข้าวเปล่าพร้อมอุปกรณ์การรับประทานอาหารได้จัดเตรียมเรียบร้อย ทุกคนนั่งและเริ่มลงมือรับประทานอาหาร คริสเคยชินกับการทานอาหารไทยจนเป็นปกติ แต่ภรรยาก็ทำสเต็กให้เขาสลับกันบ้าง
“คุณพ่อขา หนูควรเรียนอะไรดีค่ะ ตอนนี้ต้องยื่นสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว”
คริสนึกในใจว่า นี่เขาเลี้ยงลูกจนเติบโตมาถึงขั้นนี้แล้วเหรอ เวลาที่ผ่านไปเขามัวแต่ทำงานจนลืมใส่ใจในเรื่องราวต่างๆ ของลูกสาว เขารู้แค่ว่า เขาเป็นพ่อที่คอยส่งเสียค่าใช้จ่าย และไปรับไปส่งลูกสาวในบางวัน คำถามของลูกสาวทำให้เขานึกขึ้นได้ว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่ที่จบไฮสคูลต้องออกไปทำงานหาเงินเพื่อมาเลี้ยงดูตัวเอง และก็ไม่ได้อยู่กับครอบครัว บางคนที่เรียนก็ต้องกู้เงินกับรัฐบาลเพื่อส่งเสียตัวเองในขณะที่ทำงานพาร์ตไทม์ไปด้วย
“อืม..พ่อยังเรียนจบแค่ไฮสคูลเลย หาเลี้ยงเธอจนโตได้”
“เธอเองก็น่าจะคิดนะ เธอจะทำงานอะไร บางทีมันไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัยก็ได้”
“แต่หนูอยากเรียนค่ะพ่อ”
“หนูจะทำงานพาร์ตไทม์ไปด้วย พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องส่งเสีย” เอเลน่าพูดอย่างจริงจัง คริสจึงรีบพูดว่า
“เรียนอะไรที่อยากเรียนนะแหละ”
“ถ้าจะทำงานไปด้วยก็ดี โตๆ แล้ว จะได้รับผิดชอบตัวเองได้ แล้วอย่าไปเดตกับผู้ชายแล้วมีท้องซะล่ะ
เดี๋ยวจะเป็นเหมือนอาลิลลี่ของเธอ”
นีน่ารีบพูดตัดบทว่า
“หยุดๆๆๆ ลูกไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก”
“ลูกแค่ถามคุณว่าจะเรียนอะไรดี ส่วนเรื่องการตั้งท้องอะไรนั่น ลูกก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องป้องกัน”
น้องสาวของคริสหรืออาลิลลี่ใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่นของเธอไปกับก็วนยาเสพติด จนกระทั่งตั้งท้องโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก เด็กคนนั้นก็คือบรู๊ค ซึ่งมีฐานะเป็นลูกพี่ลูกน้องของเอเลน่า ที่อายุมากกว่าเธอสี่ปี ลิลลี่เคยได้รับโทษติดคุกนานถึงสามปีแต่ก็ออกมาใช้ชีวิตที่ยังวนเวียนในรูปแบบเดิมๆ เสมือนคนที่ใช้ชีวิตอย่างไร้สติ แม้ว่าคริสจะพยายามบอกน้องสาวให้ทำตัวใหม่ แต่เธอก็ยังคงวนเวียนทำพฤติกรรมแบบเดิม
นีน่าใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกาเป็นเวลากว่า 23 ปี เธอเข้าใจสังคมอเมริกันค่อนข้างมาก ซึ่งสังคมอเมริกันดูจะเปิดเผยในเรื่องของการเดตและการใช้ชีวิตในวัยรุ่น และส่งเสริมความมีอิสรภาพ อเมริกันสร้างอัตลักษณ์ให้คนอเมริกันคลั่งไคล้และหลงใหลในความเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ ความอิสระของคนที่สามารถแสดงออกราวกับว่าไม่มีความคิดใดๆ ที่จะหยุดยั้งความเป็นชาตินิยม ความอิสระของพวกเขาระหว่างคนจนและรวยดูเหมือนจะอยู่ด้วยกันได้ ในแบบที่ต่างคนต่างอยู่ เธออาศัยอยู่ในเมืองลาสเวกัส และมองเห็นคนเร่ร่อนในเมืองที่มาเสี่ยงโชคกับการเล่นการพนันจนหมดตัว ต้องอาศัยอยู่ใต้สะพานบ้าง ตามมุมอับของถนนบ้าง บางครั้งเธอก็สงสารคนเหล่านั้นและซื้อข้าวไปให้เขาเหล่านั้นกินบ้าง เธอดูคลิปในยูทูปต่างๆ ที่พูดถึงการใช้ชีวิตในอเมริกา ในใจเธอก็คิดว่าคลิปบางอย่างเหล่านั้นไม่ได้นำเสนอภาพในด้านที่เป็นความจริง ประเทศที่พัฒนาแล้วในบางมุมมองนั้นก็มีสิ่งดำๆ หรือเทาๆ ให้เห็นได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศไทยในมุมหนึ่งของสังคมลึกๆแล้ว ก็จะมีเรื่องที่อาจดูเลวร้ายได้ไม่ต่างกัน เธอจึงนึกถึงความจริงที่ว่า
“ในโลกวัตถุนิยม หากหลงงมงายและไขว่คว้าเงินอย่างขาดสติ จะอยู่ที่ใดก็มีผลที่ได้เหมือนๆ กัน”
تعليقات