ตื่นรู้เพื่อเป็นคนใหม่ในโลกใหม่
- Inspiresoul Thailand
- Jul 1, 2022
- 1 min read
Updated: Jul 7, 2022

จิตวิญญาณตื่นรู้ หรือ Spritual awakening เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางในการพัฒนาตนเอง
การตื่นรู้คืออะไร ?
เราสามารถที่จะทำให้การตื่นรู้เกิดขึ้นได้หรือไม่ ?
แล้วเมื่อเรามีการตื่นรู้เกิดขึ้นแล้วจะเกิดอะไรในชีวิตของเราบ้าง ?
เราจะหาคำตอบให้กับคำถามเหล่านี้...
การตื่นรู้ เป็นสภาวะที่ทำให้เกิดการตระหนักรู้ (awareness) ในปัจจุบันขณะ ซึ่งจะทำให้การดำเนินชีวิตของเรามีสติและสามารถบริหารจิตใจภายในตนเองให้มีแต่ความสงบ ถึงแม้ว่าอาจมีสิ่งกระทบจิตใจที่มาจากภายนอก เมื่อคุณสามารถบริหารจิตใจได้ คุณจะไม่เกิดความกลัวและความกังวลใจ
การตื่นรู้ได้ถูกพูดถึงในหลายๆศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม หรือ ฮินดู แต่อาจจะมีการนิยามการตื่นรู้ในบริบทที่แตกต่างกันไปบ้างเล็กน้อย หากจะพิจารณาการตื่นรู้ในศาสนาพุทธ อาจจะต้องพิจารณาถึงจุดสูงสุดของความปรารถนาในการดำเนินชีวิต คือ นิพพาน ซึ่งหมายถึงการดับสนิทแห่งกิเลสหรือกองทุกข์ นิพพานคือการสิ้นสุดของกิเลส หรือ สภาพที่ทำให้จิตใจเราเศร้าหมอง เช่น ความอยากได้ ความหลง ความถือตัว ความอยากประทุษร้าย เป็นต้น และสิ่งเหล่านี้มักทำให้เราเกิดทุกข์ ยิ่งไปกว่านั้น นิพพาน มักกล่าวถึงการสิ้นสุดของการหมดทุกข์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการไม่สร้างกรรมและการไม่เกิดอีก
การตื่นรู้ในการพัฒนาทางจิตวิญญาณ เป็นการเปลี่ยนคุณจากคนเก่าให้เป็นคนใหม่ที่สลัดตัวเองออกจากตัวตน ซึ่งตระหนักรู้ถึงปัจจุบัน (now) ไม่คิดถึงอดีต ไม่ฝันถึงอนาคต และหลอมรวม (หรือเกี่ยวข้อง (connect)) กับเพื่อนมนุษย์อย่างไม่มีการแบ่งแยก
ตัวตนหรืออีโก้ (ego) ในการพัฒนาทางจิตวิญญาณ หมายถึง สิ่งที่ทำให้จิตใจของเราเศร้าหมองเพราะเรามักจะต้องปกป้องตัวตน และการปกป้องนั้นกลับทำร้ายจิตใจของเราเอง และนำมาซึ่งความทุกข์ภายในใจ
จะขอยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติคุณสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก คุณอาจจะไม่อยากรับฟังคำแนะนำอะไรจากคนอื่นที่อาจสำเร็จการศึกษาในระดับที่ต่ำกว่า เพราะคุณกำลังปกป้องตัวเองว่าคุณมีความเหนือกว่าในด้านความรู้ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องฟังคำแนะนำ และในทางกลับกันคนอื่นนั้นก็อาจจะไม่กล้าที่จะแนะนำคุณ หรือการมีตัวตนในทางสังคม หากคุณมักเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องจากผู้อื่น คุณอาจจะรู้สึกว่าตนเองมีความพิเศษหรือมีความสำคัญต่อคนอื่นๆ และหากวันใดวันหนึ่งไม่มีคนกระทำกับคุณเช่นนั้นอีก คุณก็อาจจะรู้สึกแย่และผิดหวัง สองตัวอย่างนี้ก็เป็นเรื่องง่ายๆ ที่เรามักจะพบเจอได้ในสังคมโลกปัจจุบัน ความเกี่ยวข้องระหว่างการพัฒนาจิตวิญญาณและศาสนาพุทธในเรื่องการลดละอัตตา ก็คือเรื่องเดียวกันกับการสลัดจากตัวตน ซึ่งอัตตามักก่อให้เกิดความทุกข์ (suffering) หรือความเศร้าหมองในจิตใจ
การประเมินคุณค่าให้กับผู้อื่นจากสิ่งที่จับต้องได้หรือมองเห็นจากภายนอก เช่น จากสถานภาพทางสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา อาจเป็นภาพมายาลวงตาให้คุณหลง จนลืมมองไปที่ภายในหรือจิตใจของคนๆ นั้น แล้วในที่สุด
เราก็อาจจะหลอกกันเองเพราะความลุ่มหลงในอัตตา
การตื่นรู้ จึงเป็นการสลัดตัวตน เพื่อทำให้มองเห็นตนเองในรูปแบบที่บริสุทธิ์หรือเห็นตามจริง เมื่อคุณสามารถสลัดตัวตนออกได้ คุณก็จะสามารถเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ได้
ในการพัฒนาทางจิตวิญญาณ เราจึงต้องการให้คุณไม่มีตัวตน
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณยังมีตัวตน ลองคิดดูสิ คุณชอบเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นหรือไม่ ไม่ว่าคุณจะมีอะไรที่คุณคิดว่าดีกว่า หรือแย่กว่า หรือคุณพยายามปกป้องความเชื่อของคุณหรือไม่ หรือคุณลุ่มหลงต่อความภูมิใจหรือไม่
สิ่งหนึ่งที่จะสลายตัวตนของคุณได้ คือ การไม่รู้
เช่น ไม่รู้ว่าทำอะไร ไม่รู้ว่าคุณมีอาชีพอะไร การที่คุณทำตัวลืมว่ารู้ได้บ้างนั้น จะยิ่งทำให้คุณเปิดกว้าง และเปิดใจในการรับฟังได้มากขึ้น หรือพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้มากขึ้น หากจะพิจารณาตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ สมองของเราจะจำแต่เรื่องเดิมๆ หรือเรื่องที่คุณรู้นั้นมันก็คือเรื่องเดิมๆ ซึ่งอาจได้ยิน ได้ฟัง และได้เรียนมา และหนักไปกว่านั้นอาจสร้างความเชื่อให้กับคุณและคุณอาจจะยึดติดไปกับมันอย่างลุ่มหลง ซึ่งการรู้นั้นเป็นการจำกัดตัวเองให้รู้เพียงเท่านั้น และต่อต้านการเปิดใจเพื่อรับสิ่งใหม่ๆ ให้เข้ามาในชีวิต
คนทั่วไปสามารถประสบกับการตื่นรู้ได้ ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะไม่เคร่งครัดในศาสนา หรือไม่มีศาสนา หรือไม่เคยศึกษาเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณมาก่อน การตื่นรู้มักเกิดขึ้นใน 3 สภาวะ
สภาวะที่มีการใช้ชีวิตปกติ คุณอาจจะนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาพบกับความรู้สึกของโลกใหม่
สภาวะที่เกิดจากการปฏิบัติต่อเนื่อง เช่น การปฏิบัติวิปัสสนา หรือการฝึกนั่งสมาธิ ซึ่งเมื่อทำบ่อยๆ จะเกิดการตื่นรู้
สภาวะที่มีเหตุการณ์กระทบจิตใจอย่างรวดเร็ว ซึ่งเหตุการณ์นั้นอาจเกิดขึ้นกับตัวคุณเองโดยตรงหรือกับบุคคลอื่น เช่น การพบเห็นเหตุการณ์บางอย่างที่สะเทือนใจ การหย่าร้าง การสูญเสียคนที่รัก หรือการพบบุคคลพิเศษ เช่น เนื้อคู่ หรือ ทวินเฟรม
ระดับความเข้มข้นในการตื่นรู้ก็อาจจะมีความแตกต่างกันบ้างในแต่ละคน ขึ้นกับสภาพจิตใจและการดำเนินชีวิตในขณะนั้น ความเข้มข้นคือผลกระทบกับการดำเนินชีวิตของผู้ที่กำลังตื่นรู้ ในสภาวะที่ 3 อาจจะทำให้การตื่นรู้มีความเข้มข้นมากกว่าสภาวะอื่นๆ การตื่นรู้อาจเป็นการตื่นรู้ชั่วขณะซึ่งเป็นเวลาสั้นๆ หรือมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาที่ยาวนานขึ้นก็ได้ และเมื่อคุณตื่นรู้ การรับรู้ การบริหารจิตใจ และการบริหารความคิดก็อาจจะต้องทำการพัฒนาต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด
เมื่อคุณประสบกับการตื่นรู้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคุณ คือ โลกใหม่ที่คุณถอดตัวตน
ในหนังสือที่ศึกษาการพัฒนาทางจิตวิญญาณที่พูดถึงการตื่นรู้ ได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นบุคคลที่มีการตื่นรู้ บางคนก็ประสบการตื่นรู้เมื่อพบความสูญเสียของคนในครอบครัว หรือคนอื่นๆ ที่รู้จัก บางคนประสบปัญหาชีวิต มีการหย่าร้าง หรือตรวจพบโรคร้าย ทุกๆ คนที่เกิดการตื่นรู้มักจะตื่นขึ้น และมองปัญหาต่างๆ เป็นเรื่องธรรมดา และพยายามแก้ปัญหาโดยสลัดทิ้งต่อความโศรกเศร้า หรือความทุกข์ การดำเนินชีวิตในรูปแบบในอดีตจะค่อยๆ ถูกลืมหายไป แล้วการดำเนินชีวิตในโลกใหม่จะเริ่มปรากฎขึ้น เริ่มมองเห็นคุณค่าในชีวิต รู้สึกถึงความสวยงาม และความธรรมดาของสิ่งต่างๆ ในโลก ไม่ยึดติดกับสิ่งใด มีความสงบในจิตใจที่ปรากฎขึ้นอย่างชัดเจน
การสลัดตัวตนไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องสลัดทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณมีหรือการสูญเสียศักดิ์ศรีต่างๆ ที่คุณอาจหามาประดับตัวตน ทุกอย่างก็ยังเป็นสิ่งที่คุณสร้างขึ้น เพียงแต่คุณมีสติและไม่ได้ตกหลุมหรือลุ่มหลงไปกับสิ่งที่คุณสร้างมันขึ้นมาต่างหาก
สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณตื่นรู้
คุณจะตระหนักถึงปัจจุบัน ไม่คิดถึงเรื่องราวในอดีต และไม่ฝันถึงอนาคต แต่คุณจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่สำคัญในปัจจุบัน ซึ่งนั่นก็อาจนำมาซึ่งอนาคตที่คุณต้องการมันจริงๆ
คุณพอใจที่จะอยู่เงียบๆ อาจไม่อยากเป็นจุดเด่นอะไรในสังคม คุณพอใจที่จะทำกิจกรรมบางอย่างที่คุณต้องการ โดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เพราะสิ่งที่คุณทำนั้นคือสิ่งที่คุณเห็นว่าสำคัญ
คุณจะมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มีความต้องการที่อยากแบ่งปันความสุขกับคนที่คุณรักหรือคนในครอบครัวมากขึ้น รวมไปถึงคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ตัว
คุณอาจจะมีความสุขในการเป็นเจ้าของ เช่น นาฬิกาที่คุณชอบ กระเป๋าแบรนด์เนมที่คุณโปรดปราน ความสุขนั้นทำให้คุณสนุกสนานแต่ไม่สร้างให้คุณลุ่มหลง
คุณมองเห็นสิ่งที่สำคัญในชีวิต และคุณไม่ให้เวลากับสิ่งที่ไม่สำคัญ คุณอาจจะตัดเพื่อนหรือสังคมออกไปบางส่วน หากคุณมองว่ามันไม่สำคัญอะไรเลยในชีวิตของคุณอีกต่อไป
คุณอาจจะใช้ชีวิตอย่างลืมเวลา บางครั้งคุณอาจจะเพลิดเพลินกับการทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนลืมไปว่าเวลา ณ ขณะนั้นเป็นอย่างไร นั่นเป็นเพราะคุณใช้ชีวิตในปัจจุบันซึ่งไม่มีเรื่องของเวลา คุณอาจจะลืมว่าวันนี้คือวันอะไร พรุ่งนี้คือวันอะไร
คุณจะมีการจัดการภายในจิตใจอย่างเป็นอัตโนมัติ เช่น คุณทราบว่าในวันนั้นคุณต้องทำอะไรให้สำเร็จ หรือในสัปดาห์นั้นมีอะไรบ้างที่คุณจะต้องทำ คุณจะตั้งใจทำและสะสาง โดยอาจใช้เวลาที่ไม่นานนัก
คุณจะเริ่มเรียนรู้และเข้าใจความต้องการของคนอื่น โดยคุณลดละอคติต่อเขาเหล่านั้น แต่เริ่มมองเห็นส่วนดีๆ ของผู้อื่น ที่อาจสามารถนำมาใช้เพื่อไปยังเป้าหมายเดียวกันได้นั่นคือความสงบสุขของสังคม
คุณอาจจะยังมีความคิดลบต่อคนอื่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เอาความคิดเหล่านั้นมาทำร้ายจิตใจตัวเอง เห็นแล้วจบที่ตรงนั้น ไม่คิดต่อหรือไม่คิดยาว
คุณกล้าที่จะปฏิเสธ และไม่กังวลต่อสิ่งใด และในที่สุดคุณจะใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่
Inspiresoul
@Copyright 2022 by inspiresoulthailand.com ห้ามนำไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
Commentaires