top of page

    วิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณ

    Updated: Jul 9, 2022



    วิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณ (Science and Spirituality) เมื่อฟังดูแล้วอาจจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันได้เลย แท้ที่จริงแล้วทั้งสองเรื่องนี้สามารถนำไปใช้เพื่อค้นหาคำตอบและคำอธิบายของปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เราอาจนึกไม่ถึงได้ และในปัจจุบันเริ่มมีหลักการและแนวคิดประยุกต์ทั้งสองเรื่องเข้าด้วยกัน แล้วอ้างอิงใหม่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ (Spiritual science)


    วิทยาศาสตร์ (Science) คือการศึกษาเชิงประจักษ์ ด้วยการทดลอง เพื่อวิเคราะห์หาข้อสรุปในสิ่งที่กำลังศึกษา เช่น หากนำหนูไปกักขังไว้โดยให้ยา การทดลองที่เกิดขึ้น จะศึกษาปฏิกิริยาของหนูหลังจากที่ได้รับยาตัวนั้น โดยการวิเคราะห์ต่างๆ พิจารณาจากข้อมูลเชิงประจักษ์ นั่นก็คือตัวเลข เช่น ระดับการวัดสารต่างๆในตัวยา หรือการสังเกตพฤติกรรม ซึ่งมักถูกตีค่าออกมาด้วยตัวเลขทางคณิตศาสตร์


    เราอาจใช้เวลานานในการเรียนในสถานศึกษา จนกระทั่งในชีวิตประจำวันของเราได้ถูกกำหนดพฤติกรรมการใช้ชีวิตจากการนำเสนอข้อมูล ผ่านตัวเลข คณิตศาสตร์ สถิติ หรืออัลกอริทึมจากวิทยาการคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ที่เรียกว่า AI หรือการตีมูลค่าของสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเลข เช่น คริปโต และ หุ้น ยิ่งไปกว่านั้นเรากำลังพยายามตีมูลค่าของสิ่งที่ไม่สามารถตีค่าได้ เช่น การตีมูลค่าของคนจากสิ่งของที่เขาครอบครอง เช่น กระเป๋าแบรนด์เนม รถยนต์ หรือเสื้อผ้าราคาแพง

    สิ่งเหล่านี้เป็นการกำหนดคุณค่าในโลกวัตถุนิยม (Materialistic world) แต่ไม่มีคุณค่าและไม่มีความหมายในโลกของจิตวิญญาณแต่อย่างใด


    นักวิทยาศาสตร์ทางสมอง (Neuroscience) ได้ทำการทดลองการทำงานของสมอง โดยทำการกระตุ้นสมองด้วยสิ่งเร้าต่างๆ อาทิ ให้ดูภาพในอิริยาบถต่างๆ แล้วสังเกตบริเวณของสมองที่มีการตอบสนอง เช่น การวัดคลื่นไฟฟ้าจากเซนเซอร์ของเครื่องวัด ECG (Electrocardiogram) ภาพเดียวกันสำหรับคนสองคนอาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันเสมอไป หากมีบางสิ่งที่ติดต่อกับบุคคลเหล่านั้น ที่แสดงถึงอารมณ์ที่แตกต่างกันสุดขั้ว ดังนั้นค่าเฉลี่ยทางสถิติที่วิเคราะห์จากอารมณ์ (Emotion) ของผู้ที่ดูภาพ จึงอาจไม่ใช่ข้อสรุปหรือข้อสนับสนุนที่ชัดเจนว่า วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายถึงปรากฏการณ์ของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในธรรมชาติได้อย่างร้อยเปอร์เซนต์


    บทสัมภาษณ์จาก Youtube ได้ทำการสัมภาษณอาจารย์ชาวเยอรมันที่สอนสาขาไอที และผ่านการศึกษาด้านชีววิทยาและด้านยามาก่อน อาจารย์ท่านนั้นทำงานในด้านวิทยาศาสตร์มาตลอด 20 กว่าปี และไม่มีความรู้ในด้านจิตวิญญาณ จากบทสัมภาษณ์อาจารย์ได้ให้การสัมภาษณ์ว่า มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในระหว่างที่ตนกำลังเดินทางไปส่งลูกที่โรงเรียน ตนได้ประสบเห็นอุบัติเหตุระหว่างรถบรรทุกและรถจักรยานที่มีผู้ขับขี่เป็นเด็กผู้หญิง ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการปฐมพยาบาล เด็กผู้หญิงคนนั้นได้ประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรงจนกระทั่งเสียชีวิตในสถานที่เกิดเหตุ เหตุการณ์นี้ทำให้อาจารย์ชาวเยอรมันผู้นี้ยืนดูในระยะเวลาสั้นๆ ด้วยความทุกข์และเศร้าเสียใจอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งอาจารย์ได้พยายามค้นหาว่าความรู้สึกเหล่านั้นเกิดขึ้นกับตัวเขาเองได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่เคยรู้จักกับเด็กผู้หญิงคนนั้นมาก่อนเลย ในภายหลังลูกสาวของอาจารย์ได้บอกกล่าวว่า เด็กผู้หญิงที่เสียชีวิตนั้น คือเพื่อนที่โรงเรียนตนเอง อาจารย์ชาวเยอรมันผู้นี้เกิดความเห็นอกเห็นใจต่อพ่อแม่ที่สูญเสียลูก จึงทำการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต และแหล่งความรู้เพื่อหาคำตอบว่า เหตุใดเขาจึงมีความทุกข์และเสียใจเป็นอย่างมากกับเหตุการณ์นั้น ในที่สุดจึงได้ตัดสินใจไปหาคนอ่านออร่า (Aura reading) (หรือเรียกว่าคนทรง) ซึ่งสามารถติดต่อไปยังผู้ตายได้ คนอ่านออกร่าได้ถามว่า อาจารย์เคยเห็นเด็กผู้หญิงที่ปั่นจักรยานแล้วประสบอุบัติเหตุใช่หรือไม่ อาจารย์ชาวเยอรมันผู้นั้นได้ตอบว่า ใช่ คนอ่านออร่าจึงได้กล่าวว่าตอนนี้เธออยู่ที่นี่แล้ว คนอ่านออร่าได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเธอเห็นเลข 11 หลังจากนั้นไม่นานอาจารย์ขาวเยอรมันจึงได้ตัดสินใจ ไปหาพ่อแม่ของเด็กหญิงที่เสียชีวิต แล้วถามไถ่เกี่ยวกับเลข 11 ว่ามีเหตุการณ์ใดหรือไม่ที่เด็กหญิงที่เสียชีวิตคนนั้นมีเกี่ยวข้อง พ่อและแม่ของเด็กหญิงใช้เวลาอยู่นานในการหาคำตอบ และในที่สุดก็ได้บอกว่าลูกสาวเพิ่งได้ทำการแข่งขันขี่ม้า ได้ถ้วยรางวัลชนะเลิศ จากการแข่งขันสองครั้งติดกัน อาจารย์ชาวเยอรมันเกิดความรู้สึกประหลาดใจเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับเด็กหญิงที่เสียชีวิต จึงได้ตัดสินใจไปหาคนอ่านออร่าอีกคนหนึ่ง ทันทีที่คนอ่านออร่าเห็นอาจารย์ผู้นั้นเธอได้กล่าวว่ามีเด็กหญิงกำลังยืนยิ้มอยู่ในห้องนี้ และเธออาจเป็นลูกสาวในอดีตชาติของอาจารย์ ทันทีที่คนอ่านออร่าบอกกล่าว อาจารย์จึงได้นึกถึงลูกสาวแท้ๆ ของตนเอง และนึกถึงความรู้สึกของตนเองที่มีความสุขทุกๆ ครั้งที่เห็นลูกสาวของตนเองขี่ม้า จากความรู้สึกเศร้าได้เปลี่ยนเป็นความรู้สึกดีใจและเบิกบาน ซึ่งอาจารย์ชาวเยอรมันผู้นี้รับรู้ได้

    การพิสูจน์การกลับชาติมาเกิดจะต้องมีจุดเชื่อมระหว่างปัจจุบันและอดีต

    อาจารย์ชาวเยอรมันผู้นี้จึงเกิดความสนใจและความเชื่อทางด้านจิตวิญญาณ เรื่องการกลับชาติมาเกิดซึ่งแสดงให้เห็นความเกี่ยวข้องของคนทั้งสองระหว่างเขาและเด็กหญิงผู้เสียชีวิต เขาได้กล่าวว่าคนอ่านออร่าทั้งสองคน ต่างไม่รู้จักกันมาก่อน และทั้งสองคนเป็นบุคคลที่มีความสามารถทางด้านการติดต่อกับคนตายเพราะได้รับการศึกษาหรือใบประกอบอาชีพจากสมาคมที่เชื่อถือได้


    จากเหตุการณ์ดังกล่าว อาจารย์เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจพ่อแม่ที่มีลูกๆ เสียชีวิต และเข้าถึงจิตใจในการเยียวยา ซึ่งอาจารย์เห็นว่า ผู้ตาย คนอ่านออร่า และพ่อแม่ ต่างสามารถสื่อสารกันได้ โดยที่การสื่อสารที่เกิดขึ้นสามารถบรรเทาความโศรกเศร้าต่างๆ ของผู้สูญเสียได้เป็นอย่างดี อาจารย์ผู้นี้จึงได้ทำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ โดยการจัดประชุมพ่อแม่ที่สูญเสียลูก เพื่อให้พบกับคนอ่านออร่า โดยคนอ่านออร่าจะทำการสื่อสารกับคนตายให้กับพ่อแม่ คนอ่านออร่าจะซักถามพ่อแม่จากสิ่งที่ตนเห็น แล้วกระบวนการสัมภาษณ์เพื่อสอบถามความรู้สึกในการเยียวยาด้วยวิธีการนี้ได้ถูกประเมินผล พ่อแม่กว่า 96% ต่างมีความพึงพอใจในการเยียวยาด้วยวิธีการนี้ พวกเขาเพียงแค่ต้องการที่จะสื่อสารไปยังลูกๆที่เสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น เพื่อให้ได้ทราบว่าพวกเขาเหล่านั้นยังอยู่

    ในการวิจัยได้ควบคุมปัจจัยที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่น เช่น ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับผู้ตายจะไม่สามารถค้นหาได้จากสื่อใดๆ อีกทั้งการคัดเลือกคนอ่านออร่าเป็นไปอย่างมีกระบวนการ โดยผู้ได้รับการคัดเลือกในโครงการเป็นผู้ที่มีใบประกอบอาชีพหรือใบรับรองความสามารถจากสมาคมที่เชื่อถือได้


    นี่อาจเป็นเพียงบทสัมภาษณ์เดียวที่เกิดขึ้นจริง โดยบุคคลต่างๆที่อ้างอิงนั้นมีตัวตนจริง และยิ่งไปกว่านั้นมีการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์โดยตรง และไม่เคยรู้จักโลกของจิตวิญญาณมาก่อน


    อย่าลืมว่าเรื่องของชีวิตนั้นมีหลายมิติ เราให้ความสำคัญกับมิติของโลกวัตถุนิยมมาโดยตลอด แต่ยังมีโลกจิตวิญญาณที่คุณสามารถหาความรู้และระลึกได้ ด้วยความรู้สึกและการสัมผัส ในอีกหนึ่งมิติ ซึ่งมิติต่างๆ ล้วนเป็นส่วนประกอบของจักรวาล

    InspireSoul



    Copyright @2022 สงวนลิขสิทธิ์ห้ามนำไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต

    Коментарі


    bottom of page